IELTS
น้อง ๆ คนไหนที่มีความฝันอยากไปเรียนต่อหรือไปทำงานที่ต่างประเทศ ต้องอ่าน เพราะวันนี้พี่จะพาไปดูใบเบิกทางสำคัญที่จะทำให้ฝันเป็นจริง จะได้เตรียมตัววางแผนกันตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นก็คือ การสอบ IELTS
เคยได้ยินนะ แต่มันคืออะไร ???
การสอบ IELTS คือการสอบเพื่อวัดระดับความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษด้านต่าง ๆ มีชื่อเต็มว่า International English Language Testing System โดยผลสอบ IELTS นี้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพราะมีการจัดระดับความสามารถด้านภาษาครอบคลุมการสื่อสารทั้ง 4 ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน นอกจากนั้น ผลคะแนนของน้อง ๆ ยังถูกจัดระดับไว้ด้วยตัวเลขตั้งแต่ 1.0 – 9.0 (มีระบบการนับแบบ 0.5 คะแนน เช่น 2.5 , 3.5 , 4.5 เป็นต้น ) โดยคะแนนระดับ 1.0 คือ ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้เลย และ 9.0 คือ ทักษาะการใช้ภาษาดีเลิศ เรียกได้ว่า เวลาชาวต่างชาติพูด เราสามารถเข้าใจและโต้ตอบได้อย่างถูกต้อง
สาเหตุที่จำเป็นต้องสอบ IELTS ก็เพื่อทุกฝ่ายจะได้แน่ใจว่า ถ้าเราไปอยู่ต่างประเทศ เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยากลำบากนัก เพราะเราสามารถพูดคุยสื่อสารความต้องการได้ โดยสถาบันการศึกษา หรือบริษัทต่าง ๆ จะมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดคะแนน IELTS ที่ต้องการแตกต่างกันไป ดังนั้น ส่วนนี้น้อง ๆ ก็อย่าลืมทำการบ้านกันมาด้วยนะคะ ว่าต้องทำคะแนนได้ไม่ต่ำกว่าระดับไหน แต่หากต้องการศึกษาต่อ ต้องมีคะแนนตั้งแต่ระดับ 7 ขึ้นไปค่ะ
สอบอะไรบ้าง
อย่างที่บอกข้างต้นว่ามันเป็นการสอบที่ครอบคลุมทักษะการสื่อสารทั้งสี่ด้าน ดังนั้น ข้อสอบก็จะถูกแบ่งเป็น 4 ส่วน และมีแนวของข้อสอบแต่ละส่วนดังนี้
มีทั้งหมด 40 ข้อ ให้เวลา 40 นาที โดยแบ่งเป็นเวลาสำหรับฟังและทำข้อสอบ 30 นาที(ส่วนนี้แนะนำให้ทำลงในกระดาษคำถามก่อนเพื่อความรวดเร็ว) อีก 10 นาทีที่เหลือ สำหรับทวนคำตอบและย้ายคำตอบที่ถูกต้องลงในกระดาษคำตอบก่อนส่ง จุดสำคัญคือ เราจะได้ฟังบทสนทนาหรือบทพูดเพียง 1 ครั้งถ้วน ไม่มีการพูดซ้ำ น้อง ๆ จึงต้องตั้งใจฟังและจับคีย์เวิร์ดให้ได้มากที่สุด
ตัวอย่างโจทย์ อาจให้ฟังการสนทนาระหว่างลูกค้าและเซลล์แมน โดยมีการถามตอบเกี่ยวกับข้อมูลสินค้า แล้วให้เราตอบคำถาม เช่น สินค้ามาจากไหน ขนาดเท่าไหร่ ลูกค้าให้ส่งไปที่ไหน เป็นต้น
ข้อสอบมี 40 ข้อ ให้เวลา 60 นาที โดยจะมีบทความให้อ่าน 3 บทความ แต่ละบทความประมาณ 2 หน้า A4 แล้วตอบคถามในหลากหลายรูปแบบ เช่น True/ False/ Not Given ,ถามความคิดเห็น ,ให้เลือก Heading ของแต่ละย่อหน้าที่กำหนด หรือ หาความเกี่ยวข้องหรือความขัดแย้งในบทความ หลายคนอาจจะโอดโอยใน Part นี้ เพราะดูเวลาแล้วก็อาจประมาณการณ์ได้ว่า คงจะหมดไปกับการอ่านก่อนได้ทำข้อสอบ
บทความที่นำมาเป็นโจทย์จะค่อนข้างหลากหลาย เพราะนำมาจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เช่น บทความจากใบปลิว หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน วารสารต่าง ๆ มีทั้งเรื่องทั่วไปหรืออาจเป็นแนววิทยาศาสตร์ โจทย์อาจให้ตอบแบบ Multiple choice หรือ ตอบว่าจริง/ไม่จริง/ไม่มีข้อมูล ตัวอย่างโจทย์ เช่น พลังงานลมถือเป็นพลังงานที่ยั่งยืนหรือไม่ เพราะเหตุใด
เทคนิคการทำข้อสอบการอ่านคือ ให้อ่านคำถามก่อนคร่าวๆ จากนั้นค่อยตามไปอ่านในบทความแบบ Scan หาคำตอบ ค่อย ๆ ทำไป โดยอย่าลืมดูเวลาเรื่อย ๆ ด้วยค่ะ ทั้งนี้ ข้อสอบบางข้อมีการกำหนดเงื่อนไขพิเศษ เช่น Write no more than one word ตรงจุดนี้น้อง ๆ ต้องระวังด้วยนะคะ
ให้เวลา 60 นาที สำหรับการตอบโจทย์ด้วยการเขียนบทความโดย
จะเห็นได้ว่า การทำข้อสอบ Writing Part ต้องบริหารจัดการเวลาให้ดี โดยอาจต้องวางแผนเทเวลามาที่ข้อสองซึ่งมีคะแนนมากกว่า และที่สำคัญ ในหัวเราต้องมีคลังคำศัพท์ให้เลือกใช้มากพอสมควร
การสอบพูดจะใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะจะใช้เวลาเพียงแค่ 10-15 นาทีเท่านั้น โดยจะเป็นการโต้ตอบสนทนากับคนจริงๆ ไม่ได้ตอบผ่านคอมพิวเตอร์เหมือนการสอบแบบอื่น บทสนทนาจะแยกเป็น 3 หัวข้อย่อยคือ
ข้อควรระวังสำหรับการสอบ
ผลสอบ IELTS ได้ที่ไหน และผลสอบ ใช้ทำอะไรได้บ้าง
สำหรับประเทศไทย มีศูนย์สอบ IELTS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอยู่ 2 สถาบัน คือ British Council (ตัวแทนการจัดสอบจากสหราชอาณาจักร) และ IDP (ตัวแทนการจัดสอบจากประเทศออสเตรเลีย) โดยหากน้องๆอยากทราบตารางสอบหรือสนามสอบที่ใกล้เคียง สามารถดูได้ที่
British Council: https://www.britishcouncil.or.th/exam/ielts
IDP: https://www.ielts.idp.co.th/
เมื่อเราสอบเสร็จ ประมาณ 2 สัปดาห์ ผลสอบก็จะถูกส่งตรงมาที่บ้านเรา และเมื่อเราได้คะแนนตามต้องการ ผลสอบจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดังนี้
สำหรับค่าสมัครสอบ IELTS นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาท/ครั้ง จะเห็นได้ว่าค่าสมัครค่อนข้างสูง ดังนั้นหาก สอบไม่ผ่าน หรือไม่ได้คะแนนตามระดับที่ต้องการ ต้องสมัครสอบใหม่จนกว่าจะผ่านนะคะ พี่เลยอยากแนะนำให้น้องๆ วางแผนเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้า จะได้ไม่เสียทั้งเวลาและเสียทั้งเงินค่ะ